อานิสงส์การทอดกฐิน

 

อานิสงส์ของการทอดกฐิน

อานิสงส์ ของการถวายกฐินแท้จริงแล้ว ก็เหมือนกับการถวายสังฆทานนั่นแล เพียงแต่มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น จำกัดกาล (ปีหนึ่งถวายได้หนเดียว) จำกัดเวลา (ต้องถวายภายใน ๑ เดือนหลังออกพรรษา) เป็นต้น เรียกว่า ใช้กำลังใจสูงกว่าการถวายผ้าป่าที่ถวายได้ตลอดปี หรือสังฆทานธรรมดานั่นเอง เลยมีอานิสงส์พิเศษ

คำว่า “อานิสงส์กฐิน” ที่อยู่ตอนต้น ก็ควรเขียนว่า “อานิสงส์การถวายกฐิน” ครับ เพราะอานิสงส์กฐินแท้จริงนั้น เกิดแก่พระภิกษุ ดังนี้

๑. เที่ยวไปโดยไม่บอกลา (ออกพรรษา อนุโมทนากฐินแล้ว เที่ยวไม่ยั้งครับ)

๒. จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบชุด (ปกติพระไปไหนต้องพกสังฆาฏิใส่ย่ามไปด้วยครับ)

๓. ฉันคณโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้ (อันนี้แปลคร่าว ๆ ว่า ฉันเป็นหมู่คณะได้)

๔. เก็บอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา

๕. จีวรอันเกิดในที่นั้น (ที่ที่จำพรรษา) เธอมีสิทธิที่จะกรานกฐินและได้รับอานิสงส์ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ และจะได้รับสิทธิพิเศษนี้ไปอีก ๔ เดือน

การทอดกฐินเป็นการถวายผ้าจีวรแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบ 3 เดือน งานบุญนี้มีระยะเวลาทำตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 มูลเหตุที่มีการทำบุญกฐินนั้น มีเรื่องเล่าว่า มีพระภิกษุจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ระหว่างการเดินทางนั้นยังเป็นช่วงหน้าฝนและระยะทางไกลจึงทำให้ผ้าจีวรของพระภิกษุเหล่านั้นเปียกน้ำเปรอะเปื้อนโคลนไม่สามารถหาผ้าผลัดเปลี่ยนได้ พระพุทธเจ้าได้เห็นถึงความยากลำบากนั้น จึงมีพุทธบัญญัติให้ภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังออกพรรษา ชาวบ้านจึงได้จัดผ้าจีวรนำมาถวายพระภิกษุในช่วงเวลาดังกล่าว จนกลายเป็นประเพณีทำบุญกฐินมาจวบจนปัจจุบัน

ต่อไปนี้ จะพูดถึงอานิสงส์กฐิน เอาย่อๆนะ อานิสงส์ในการถวายกฐิน หรือว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถวายสังฆทาน สังฆทานวันนี้เป็นสังฆทานของกฐิน การถวายสังฆทานทุกอย่างมีผลควบกับกฐิน เพราะเป็นวันของกฐิน ความจริงการทอดกฐิน ไม่ใช่ประเพณีนิยม เป็นพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ผ้ากฐินทาน จะรับได้ก็ต่อเมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 หลังจากนั้น จะทอดขนาดไหนก็ตาม จะไม่เป็นกฐิน ฉะนั้น กฐินมีเวลากาลจำกัดตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ในสมัยพระองค์เกิดเป็น”มหาทุคคตะ” ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “พระปทุมมุตระ” เวลานั้น พระพุทธเจ้าของเรา เกิดเป็นคนจนอย่างยิ่ง เป็นทาสของคหบดี เวลานั้น ถอยหลังจากนี้ไป 92 กัป

ก็ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า”พระปทุมมุตระ” วันหนึ่ง มหาทุคคตะ ไปดูงานทอดกฐิน เมื่อเขาทอดกฐินเสร็จ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลใด เคยทอดกฐินแล้วในชีวิตหนึ่ง ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพกฐินก็ดี และเป็นบริวารกฐินก็ดี (แต่ว่ากฐินนี้ไม่มีบริวาร มีแต่เจ้าภาพ เพราะเป็นกฐินสามัคคี) จะทำบุญน้อย จะทำบุญมาก มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ทว่าปริมาณอาจจะแตกต่างกัน

และอานิสงส์กฐินนี่ เวลานั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “โภ ปุริสะ ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุคคลใดเคยทอดกฐินไว้ในพระพุทธศาสนา แม้ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากความเป็นคน ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ท่านผู้นั้น จะไปเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้า 500 ชาติ”

นั่นหมายความว่า ถ้าหมดอายุเทวดา หรือ นางฟ้า จุติแล้วก็เกิดทันที 500 ครั้ง เมื่อบุญหย่อนลงมานิดหน่อย เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้าไม่ได้ ลงมาเป็นมนุษย์ จะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก 500 ชาติ แล้วบุญก็หย่อนลงมา ก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 500 ชาติ แล้วบุญก็หย่อนลงมา ก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ 500 ชาติ หลังจากนั้น จะเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติ คำว่า”มหาเศรษฐี”นี่ มีเงินตั้งแต่ 80 โกฏิขึ้นไป เขาเรียกว่า “มหาเศรษฐี” ถ้ามีเงินต่ำกว่า 80 โกฏิ แต่ว่าตั้งแต่ 40 โกฏิขึ้นไป เขาเรียกว่า “อนุเศรษฐี” เมื่อเป็นมหาเศรษฐี 500 ชาติแล้ว ก็เป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติ หลังจากเป็นอนุเศรษฐี 500 ชาติแล้ว ก็เป็นคหบดี 500 ชาติ

ก็รวมความว่า การทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นอกจากจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีแล้ว บุคคลที่ทอดกฐินครั้งหนึ่งในชีวิต จะปรารถนาพระโพธิญาณก็ย่อมได้ นั่นก็หมายความว่า จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นมหาสาวกก็ได้ จะปรารถนานิพพานเป็นพระอรหันต์ปกติก็ได้

ฉะนั้น การทอดกฐินแต่ละคราว ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท โปรดทราบถึงอานิสงส์ คนที่เคยทอดกฐินแล้วแต่ละครั้ง รวมความว่า ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด คำว่ายากจนเข็ญใจ จะไม่มีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกชาติสำหรับวันนี้ การทอดกฐินมันมี 3 อย่าง ความจริงอานิสงส์กฐินก็ย่อมเป็นอานิสงส์กฐิน แต่ในปัจจุบัน จัดกฐินเป็น 3 อย่าง คือ

(1) จุลกฐิน

(2) ปกติกฐิน

(3) มหากฐิน

กฐิน 3 อย่าง ย่อมเป็นเทวดานางฟ้าเหมือนกัน แต่ทว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากกว่ากัน

คำว่า”จุลกฐิน” เวลานี้แปลงไป คงจำของพระพุทธเจ้าไม่ได้ คำว่า”จุลกฐิน” ก็หมายความว่า ที่เขาถวายผ้าโดยเฉพาะชิ้นเดียว คือ ผ้ากฐิน จะเป็นผ้าสังฆาฏิตัวหนึ่งก็ได้ จะเป็นผ้าจีวรตัวหนึ่งก็ได้ สบงตัวหนึ่งก็ได้ ถ้าเราไม่มีทั้งไตร ถวายผ้าชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็เป็นกฐิน

 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประวัติปฏิบัติศาสนกิจ พระคัมภีร์เทพ ธมฺมิโก

ร่วมบูรณะอุโบสถวัดชากพง งบ 1.1 ล้านบาท